"ในกรณีที่ความกดอากาศเปลี่ยนแปลง
ผู้โดยสารที่เดินทางมากับเด็กเล็ก
กรุณาสวมหน้ากากให้กับตัวท่านก่อน
แล้วจึงสวมใส่หน้ากากให้กับเด็ก"
อันนี้เป็นส่วนหนึ่งในประโยคที่แอร์โฮสเตส
มักจะประกาศและแสดงการใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยก่อนขึ้นบิน
ที่เขาต้องให้ใส่หน้ากากให้กับผู้ใหญ่ก่อน
ไม่ใช่เพราะเด็กอึดกว่าไม่หน้ามืดก่อนผู้ใหญ่นะ
แต่เขากล้วว่าเกิดไปมัวใส่หน้ากากให้กับเด็ก
เกิดผู้ใหญ่หน้ามืดเป็นลมไปก่อน เด็กก็จะไม่ได้ถูกช่วยด้วยหล่ะสิ
ผมเห็นพ่อแม่หลายคนที่มีลูก
เวลาที่คิดจะทำประกันอย่างประกันสุขภาพ
ก็ชอบนึกถึงลูกคิดว่าลูกมีโอกาสป่วยมีโอกาสเคลมมากกว่า
ก็เลยเลือกที่จะทำประกันให้ลูกก่อนที่คิดจะทำให้ตัวเอง
รวมทั้งคนที่เป็นลูกที่มีคุณพ่อคุณแม่อายุมากแล้ว
ก็มักอยากที่จะทำประกันสุขภาพเผื่อพ่อแม่ป่วยขึ้นมา
จะได้มีเงินดูแลยามที่ท่านเจ็บป่วย
ผมเข้าใจดีนะครับว่าคนที่เป็นพ่อแม่หรือคนที่เป็นลูก
ที่คิดแบบนี้เป็นเพราะรักและห่วงใยลูกหรือคุณพ่อคุณแม่
แล้วก็มักจะคิดว่าตัวเองมีโอกาสเจ็บโอกาสป่วยน้อยกว่า
แต่ผมถามจริงๆเถอะว่ามีใครรับรองได้ไหมครับ
ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป
หากคุ้มครองแต่เด็กเกิดคนที่เป็นพ่อหรือแม่เจ็บป่วยขึ้นมาหล่ะ
แล้วถ้าคนที่เป็นพ่อแม่ไม่มีความคุ้มครอง
ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง
แถมขาดรายได้เพราะทำงานไม่ได้
หากเกิดมีเงินที่จำกัด
แล้วใครหล่ะที่จะจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพของเด็กต่อ
ตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้ เด็กก็ช่วยไม่ได้
เหมือนกันกับคนที่คิดจะทำประกันสุขภาาพให้พ่อแม่
โดยไม่คิดที่จะทำให้ตัวเองก่อน
เกิดเจ็บเกิดป่วยมา ต้องจ่ายค่ารักษาเอง
แถมยังต้องมีภาระจ่ายเบี้ยประกันให้พ่อแม่อีก
คราวนี้จะทำยังไงกันดี
แล้วถ้าหนักกว่านั้นเกิดคนเป็นลูกป่วยหนักป่วยนาน
แทนที่ลูกจะได้ช่วยพ่อแม่ที่แก่แล้ว
กลับทำให้พ่อแม่ที่แก่แล้วต้องหาเงินมาดูแลรักษาลูกอีก
ทุกอย่างในชีวิตของเรามันมีขั้นมีตอนครับ
ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเรียงลำดับก่อนหลังให้ถูก
เวลาทำอะไรมันจะได้ง่ายขึ้น ถูกต้องมากขึ้นครับ