ถ้าพูดถึงเรื่องของเงินแล้ว
สิ่งที่จะคุณจะพบได้ในคนทั่วไป
จะมีอยู่ 4 สถานการณ์นี้ครับ
1.หาเงินมาได้เท่าไร แต่ใช้เก่งกว่าเท่านั้น
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ ความยากจน
2.หาเงินมาได้เท่าไร แบ่งเงินออกมาเก็บ ที่เหลือค่อยเอาไปใช้
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ เงินเก็บลดค่าเพราะถูกเงินเฟ้อกัดกิน
3.หาเงินมาได้เท่าไร แบ่งเงินออกมาลงทุน ที่เหลือค่อยเอาไปใช้
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ ความร่ำรวย
4.หาเงินมาได้เท่าไร แบ่งเงินออกมาลงทุน
พร้อมเจียดเงินก้อนเล็กอีกก้อนเป็นค่าเบี้ยประกัน
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ ความร่ำรวยที่ยั่งยืน
ทำไมสถานการณ์ที่ 4จึงทำให้ความรวยนั้นยั่งยืนหล่ะครับ
ก็เพราะการทำประกันเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญที่สุด
ในการโอนย้ายความเสี่ยงที่เราต้องรับผิดชอบเองไปให้บริษัทประกันไง
คุณคิดดูสิครับว่าเงินของคุณมาจากไหน
ถ้าจะไม่ได้มาเพราะคุณมีความสามารถและมีเวลาให้หาไม่ใช่หรือ
ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งหมดไปรายได้คุณจะมาจากไหนจริงป่ะ
ถ้าพูดถึงประกันชีวิตคุณคิดว่าคนเราคนหนึ่ง
ควรมีทุนประกันเท่าไหร่หล่ะ
100,000 , 200,000 , 500,000 , 1ล้าน , 10ล้าน , 100 ล้าน ….
หรือแค่ทำแค่ไว้ลดหย่อนภาษีเท่านั้น
หลักการเรื่องนี้ดูจากภาระหรือความรับผิดชอบที่คุณมีต่อคนอื่นครับ
วิธีการหนึ่งตามหลักสากลที่ใช้คำนวณทุนประกันที่เหมาะสมคือ
วิธีการที่เรียกว่า Non-working Spouseครับ
แปลตรงๆคือวิธีการที่หากคนที่รับผิดชอบครอบครัวเป็นอะไรไป
คู่สมรสที่เหลืออยู่จะมีชีวิตต่อไปเหมือนเดิมโดยไม่ต้องทำงาน
แต่จริงๆแล้วไม่ได้เฉพาะคู่สมรสเท่านั้นนะครับ
หลักการเรื่องนี้คือ
หากคนที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวจากไป
จำเป็นต้องมีเงินก้อนหนึ่ง ที่คนที่อยู่จะเบิกใช้ได้
ไปจนกว่าลูกคนเล็กจะเรียนจบมหาวิทยาลัย
อย่างเช่นหัวหน้าครอบครัวคนหนึ่ง มีลูก 1คน อายุ 5ขวบ
มีค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว
เฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท หรือปีละ 240,000 บาท
กว่าลูกจะเรียนจบปริญญาตรีก็ 22-5 =17 ปี
หากมีอะไรเกิดขึ้นกับหัวหน้าครอบครัวคนนี้คืนนี้
จำนวนเงินที่คนที่อยู่จะต้องมีคือ
240,000 x 17 = 4,080,000 บาท
โดยเงินก้อนนี้คนที่อยู่ต้องเอาไปฝาก
ให้ได้ผลตอบแทนพอๆกับเงินเฟ้อด้วยนะ
อ่าวแล้วไม่ใช่คนมีลูกหล่ะอย่างคนโสดใช้วิธีนี้ได้ป่ะ
ได้ครับ ก็แค่เปลี่ยนจำนวนปีที่ลูกจะเรียนจบไปเป็น
จำนวนปีที่คนที่เรารักหรือคนที่เราดูแลจะมีชีวิตเหลืออยู่
เช่นถ้าคนโสดคนหนึ่งให้เงินพ่อแม่อยู่ทุกวันนี้
เดือนละ 10,000 บาท หรือปีละ 120,000 บาท
หากคุณพ่อหรหือแม่อายุตอนนี้ 65ปี
อายุที่คาดว่าจะเหลืออยู่ = 85 - 65 = 20 ปี
จำนวนที่ควรเตรียมไว้เพื่อดูแลท่านคือ
120,000 x 20 = 2,400,000 บาท
แต่ยังไม่หมดนะครับ
ตัวเลขนี้ต้องบวกเพิ่มภาระหนี้สินคงค้าง
ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบที่ยังเหลืออยู่
และสำหรับคนมีลูกอาจต้องรวม
ทุนการศึกษาของลูกในอนาคตเข้าไปด้วยนะครับ
รวมไปรวมมาแล้วเยอะขนาดนี้จะหาเงินที่ไหนมาเตรียมไว้อ่ะ
มันต้องหักจากสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ง่ายที่มีอยู่
เช่นเงินฝาก เงินเก็บ กองทุน หุ้น พันธบัตร ฯลฯ
และหักต่อด้วยทุนประกันรวมที่มี
นั่นคือจำนวนเงินที่คุณควรเตรียมเพิ่มครับ
ซึ่งวิธีที่ใช้เตรียมเงินก้อนนี้ที่ง่ายมากๆคือใช้ทุนประกันครับ
คุณก็จะมามีคำถามอีกว่า
ทุนเยอะขนาดนั้นจะมีปัญญาจ่ายเบี้ยประกันยังไง
แหม มันมีหลายแบบครับ
แบบที่เบี้ยต่ำสสุดเน้นคุ้มครองสูงๆ
ก็แค่ 0.5 - 2% ของทุนประกันก็ทำได้แล้ว
ซึ่งก็ขึ้นกับเพศ อายุ ของคนทำครับ
ที่เบี้ยสูงๆทุนประกันต่ำๆ
ที่คุณเคยเห็นก็ไม่ต้องไปซื้อสิครับ
แบบนั้นมันเหมาะกับคนที่ต้องการออมเงิน
แต่ประกันแบบนั้นผลตอบแทนก็ไม่ได้สูงอะไรมากนัก
เพราะประกันแบบนี้บริษัทประกันเค้าเอาไปลงทุนในพันธบัตร
ซึ่งผลตอบแทนของพันธบัตรพวกนี้ก็อยู่ประมาณ 3-4%
หักค่าใช้จ่ายด้านประกันก็เหลือสุทธิแค่ 2-2.5%แค่นั้นครับ
หรือถ้าคุณต้องการความคุ้มครองสูง
และมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
จากการลงทุนในกองทุนรวม
ก็เลือกแบบกรมธรรม์ควบการลงทุน หรือ Unit Linked
แต่แบบนี้เค้าไม่ได้รับรองผลตอบแทนนะครับ
จะวางแผนการเงิน วางแผนการลงทุนยังไง
ก็อย่าลืมวางแผนเรื่องประกันด้วยนะครับ
เพราะประกันคือการซื้อเงินสดก้อนใหญ่
โดยใช้เงินสดก้อนเล็กครับ